คาถามหาลาภ หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล แห่งวัดบ้านจาน จ.ศรีสะเกษ

หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล

คาถามหาลาภ หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล แห่งวัดบ้านจาน จ.ศรีสะเกษ พระอมตะเถระ 5 แผ่นดิน ผู้สำเร็จมหาวิชาธาตุสี่ 


คาถามหาลาภ หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล แห่งวัดบ้านจาน จ.ศรีสะเกษ พระอมตะเถระ 5 แผ่นดิน ผู้สำเร็จมหาวิชาธาตุสี่ หากกล่าวถึง ท่านเป็น พระเกจิอาจารย์รุ่นเก่า ชื่อของ หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล เป็นอีกหนึ่งครูบาอาจารย์ ที่มีการพูดถึงในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ เป็นกลุ่มพระภิกษุทางสายเหนือโลก มีเรื่องราวอภินิหารย์ถึงขนาด มีตำนานการพาลูกศิษย์หายตัวจากศรีสะเกษ มาปรากฏตัวที่กรุงเทพฯ ท่านเป็น พระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงอันโด่งดังอีกองค์หนึ่ง ทั้งคนในพื้นที่ จังหวัดศรีสะเกษ และทั่วทุกพื้นที่ในประเทศไทย  

หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล

ประวัติของหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล 

     หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล เกิดในสกุล “ ศรีสงคราม ” หรือ “ แก้วปักปิ่น ”  เกิดเมื่อวันที่ วันพฤหัสบดี เดือน 5 ปีชวด พ.ศ. 2437 ที่ตำบลบ้านจาน อำเภอกันทรารมย์ จังหวัดศรีสะเกษ  

     บิดาท่าน ชื่อ ” ดี ” มารดาท่านชื่อ ” อั๊ว ” มีอาชีพทำไร่ทำนา ท่านเป็นเด็กยากจน แต่ท่านมีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ต่อมาบิดามารดาเห็นว่าท่านมีแววทางด้านพระพุทธศาสนา จึงให้บรรพชา เป็นสามเณรเมื่ออายุ 14 ปี  

     กระทั่งปี พ.ศ.2460 ขณะอายุได้ 23 ปีได้เข้าอุปสมบทหมู่จำนวน 9 รูป โดยหลวงปู่เป็นรูปที่ 9 โดยมีโยมลุงของท่านเป็นเจ้าภาพ โดยมีหลวงพ่อสีดา เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อเพ็งเป็นพระอนุสาวนาจารย์และหลวงพ่อผุยเป็นพระกรรมวาจาจารย์  ได้ทำการอุปสมบทและท่านได้รับฉายาว่า “ ฐิตสีโล ” แปลว่า “ ผู้มีศีลตั้งมั่น “ จากนั้นท่านได้ศึกษาวิชาความรู้จากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ในแถบนั้นเป็นเวลา 4 ปี ก่อนออกไปแสวงหาครูบาอาจารย์อื่นๆ เพื่อศึกษาคันธธุระและวิปัสสนาธุระในชั้นที่สูงๆ ขึ้นไป 

     และในปี พ.ศ. 2464 หลวงปู่หมุน เริ่มออกเดินทางแสวงหาประสบการณ์โดยได้ร่ำเรียนทั้งเวทย์วิทยา และสมถกรรมฐานจากครูบาอาจารย์หลายสำนัก ในสมัยนั้น การเดินทางลำบากมาก ต้องเดินเท้าเปล่าพบเจอผีป่า หรือสัตว์ร้ายต่างๆ แต่หลวงปู่ก็ไม่มีความย่อท้อ ก็ยังเดินทางไปศึกษาวิชาอาคมที่ สำนักตักศิลาแห่งบ้านจิกใหญ่ อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี จนได้ศึกษาคัมภีร์มหาพุทธาคม อันเป็นแม่บทของคัมภีร์ปถมัง คัมภีร์อิทธิเจ คัมภีร์มหาราช คัมภีร์ตรีนิสิงเห ซึ่งเป็นพื้นฐานแห่งอำนาจจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำราพิชัยสงคราม เช่น คัมภีร์นิติประกาศิต คัมภีร์ธนูรเวทว่าด้วยการแต่งเครื่องครอบมนตร์ในสงคราม 

     ต่อมาในช่วงปี 2475 – 2482 หลวงปู่สำเร็จการศึกษาวิชาการต่าง ๆ ก็เก็บบริขารออกเดินธุดงค์ผ่านถิ่นทุรกันดารในชนบทมายังกรุงเทพ ฯ ในระยะแรกหลวงปู่เข้าพักที่ วัดเทพธิดาราม เป็นการชั่วคราว โดยมีครูทองอินทร์ เป็นครูสอนของวัดเทพธิดาราม เป็นผู้เอื้อเฟื้อจัดหาที่พักให้ท่านอยู่ที่วัดวัดอรุณราชวราราม พักอยู่กับพระพิมลธรรม ( นาค ) ศิษย์สายสมเด็จพระสังฆราชแพ จึงทำให้ท่านมีโอกาสได้ร่ำเรียนวิชาคัมภีร์มูลกกัจจายน์สูตร ซึ่งเป็นหลักสูตรโบราณอันเก่าแก่ของคณะสงฆ์ไทยที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคน เป็นตำราที่ละเอียดลึกซึ้ง แตกฉานพระบาลีว่าด้วยคัมภีร์อรรถกถายากมากที่จะมีใครเรียนได้สำเร็จ ( ปัจจุบันวิชานี้ได้ยกเลิกไปแล้ว ) แต่หลวงปู่หมุนได้ลองเข้าสอบวิชามูลกัจจายน์ นั้น ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งการสอบในสมัยนั้น จะมีพระมหากษัตริย์เป็นประธาน และสมเด็จพระสังฆราช ( แพ ) เป็นประธานกรรมการฝ่ายสงฆ์ และพระเถราจารย์จะเป็นผู้ทดสอบ โดยมีการถามตอบแบบมุขปาฐะ ( ปากเปล่า ) เป็นการถามตอบแบบบาลีถ้าผิดเกิน 3 คำ ให้ปรับเป็นตกทันที แต่ด้วยความรู้ความสามารถที่แตกฉานในคัมภีร์หลวงปู่ ท่านสามารถสอบได้เปรียญธรรมถึง 5 ประโยคในเวลาเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นหลวงปู่ก็ได้ใช้วิชาความรู้อย่าง คุ้มค่า จึงถึงขั้นได้เป็นครูสอนมูลกัจจายน์อยู่ที่วัดหงส์รัตนาราม ( ฝั่งธนบุรี ) เป็นเวลาหลายปี จึงทำให้ท่านมีลูกศิษย์มากมาย นอกจากนี้ในช่วงหนึ่งหลวงปู่มาพักกับสมเด็จพระสังฆราชแพ ที่วัดสุทัศน์ฯ และได้ศึกษาวิชาบางอย่างกับสมเด็จพระสังฆราชแพอีกด้วย 

     ต่อมาท่านเก็บของออกเดินธุดงค์ติดตามพระอาจารย์ทองดี ที่มาจาก อ.บึงกาฬ จ.หนองคาย ธุดงค์ ไปทางภาคเหนือเข้าเขตพม่าเป็นเวลา 1 ปี  และเดินธุดงค์ลงภาคใต้ไปพักกับพระอาจารย์ทิม วัดช้างไห้ เพื่อปฎิบัติกรรมฐานและแลกเปลี่ยนวิชาอาถรรพณ์เวทมนต์กับพระอาจารย์ทิมอยู่ ประมาณปีกว่า ๆ  หลังจากนั้นท่านตัดสินใจกลับวัดช้างให้ ได้มาเรียนวิชาจากพ่อท่านคล้ายวาจาสิทธิ์ วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช โดยพ่อท่านคล้ายได้ให้ของที่ระลึกคือ ชานหมากเม็ดใหญ่เป็นที่ระลึก จากนั้นท่านก็เดินธุดงค์เรื่อยมาจนกลับเข้าสู่เขตอีสานอีกครั้งและท่านได้พบกับหลวงปู่สี ฉันทสิริ ในป่าแถบ จังหวัดหนองคาย และได้วิชาลบผงสีจากหลวงปู่สี ซึ่งได้รับสืบทอดมาจากสมเด็จพุฒาจารย์โต วัดระฆังโฆษิตาราม 

     ต่อมาช่วงที่ท่านธุดงค์แถบอุบลราชธานีท่านได้พบกับหลวงปู่มั่น จึงได้ขอเรียนข้อวัตรปฏิบัติในพระกรรมฐาน แต่ไม่ได้ร่วมคณะธุดงค์ เพราะท่านอยู่นิกายมหายานหลวงปู่เล่าให้กับพระภิกษุที่เป็นหลานของท่านว่า ช่วงที่หลวงปู่ต้องการเจริญสมณธรรม เป็นธรรมอันล้ำลึกยากยิ่งที่ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงจะล่วงรู้ถึงอารมณ์ของ วิปัสสนานี้ได้ หลวงปู่หมุนได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้พระอาจารย์มั่นอยู่ระยะหนึ่งแล้วก็แสวงหา ความวิเวก เพื่อประพฤติปฏิบัติ จนกระทั่งหลวงปู่แตกฉาน เชี่ยวชาญ ตอนนั้นหลวงปู่หมุนได้ศึกษาธรรมจนที่สหธรรมมิกที่เป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น จึงรู้จักและสนิทสนมกับหลวงปู่ทุกองค์ ในตอนที่หลวงปู่หมุนได้ไปกราบนมัสการ หลวงปู่มั่น ท่ามกลางศิษย์สายกองทัพธรรม ในขณะที่หลวงปู่มั่นสนทนาธรรมกับหลวงปู่หมุนว่า ” ท่านหมุน ท่านเก่งพอตัวอยู่แล้ว หากไม่เจอกันหรือมีข้อสงสัยเกี่ยวกับปริยัติ ปฏิบัติ และ ปฎิเวธให้สอบถามท่านแหวนได้ เพราะเขาเก่งมาก ” แล้วหลวงปู่มั่นได้มอบของที่ระลึกให้หลวงปู่หมุน 2 อย่าง คือ แผ่นจารอักขระใบลาน ม้วนเป็นลูกอมกลม ๆ เขียนเป็นภาษาขอมว่า เย ธมมา เหตุปภวา ฯลฯ และธนบัตรรัชกาลที่ 8 พร้อมลายเซ็นหลวงปู่มั่น ภายหลังหลวงปู่ท่านได้มอบให้โยมแม่ไป  

     ต่อมาหลวงปู่มีความกังขาสงสัยในกัมมัฏฐานในเรื่องของ จตุธาตุวัฏฐาน ซึ่งเป็นเรื่องของการปฏิบัติในธาตุทั้ง 4 เป็นมูลฐานของอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ จึงได้เดินทางไปกราบขอความรู้เพิ่มเติมจาก หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ก็ได้รับความกระจ่าง จากนั้นท่านก็ธุดงค์ ได้ไปร่ำเรียนวิชาจาก พระอาจารย์สิงห์ วัดป่าสาลวัน หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา ต่อมาไม่นานก็ได้ร่ำเรียนวิชามีดหมอมหาปราบจากหลวงพ่อขำ วัดเขาแก้ว และหลวงพ่อเงิน วัดมะปรางค์หลวง ซึ่งวิชานี้หลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพ จ.นครสวรรค์ก็เรียนจากหลวงพ่อขำและหลวงพ่อเงิน นอกจากนี้ในช่วงที่หลวงปู่ธุดงค์มาสู่ภาคตะวันออกแถบจันทบุรี ท่านได้พำนักอยู่กับ หลวงพ่อสอน วัดเสิงสาง กระทั่งหลวงพ่อสอนไว้ใจให้วิชาอาคมและครอบครูให้กับหลวงปู่  

     หลวงปู่หมุนนับเป็นหนึ่งในทายาทผู้สืบสายเวทวิทยาพุทธาคมในสายสมเด็จลุนแห่งนครจำปา ศักดิ์ราชอาณาจักรลาวที่ยังดำรงขันธ์อยู่ในปัจจุบัน โดยสมเด็จลุนเป็นที่เลื่องลือในคุณธรรมและอภิญญาอภินิหารอาทิ สามารถเดินบนน้ำได้ ย่นระยะทางได้ แปลงร่างได้ เดินทะลุภูเขาได้ หลวงปู่หมุนเองก็ดั้นด้นธุดงค์ผ่านอุบลราชธานีเข้าประเทศลาวเพื่อสืบเสาะสม เด็จลุน แต่ไม่พบ แล้วมาพักอยู่กับหลายพ่อมหาเพ็ง วัดลำดวน ในช่วงนั้นหลวงปู่ได้ใช้เวลาค้นคว้าศึกษาพระไตรปิฏก ในเรื่องพระวินัยปิฏก และพระอภิธรรม ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการเจริญกัมฏฐานล้วน ๆ ประมาณ 2 เดือนกว่า แล้วก็ออกธุดงค์กลับสู่ประเทศไทยเข้ากรุงเทพฯ มาพักนักที่วัดหงส์รัตนาราม ต่อมาธุดงค์ไปทางอีสานเข้าสู่ประเทศลาวอีก หลายครั้ง จนกระทั่งท่านมีอายุ 30 ปีกว่าแล้ว คราวนั้นหลวงปู่ได้พบกับฆราวาสชื่ออาจารย์ฉันท์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นเหลนของสมเด็จลุน ที่จังหวัดนครพนม โดยเรียนวิชาจากอาจารย์ฉันท์จนหมดภูมิแล้ว อาจารย์ท่านจึงได้แนะนำฝากตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ดำเหลนของสมเด็จลุนปรมาจารย์ ใหญ่ที่สืบสายเวทวิทยาพุทธาคมในสายสมเด็จลุน 

     อย่างไรก็ตาม เป็นที่เชื่อกันว่าหลวงปู่หมุนท่านสำเร็จวิชาสำเร็จธาตุ 4 มาจากสายสมเด็จลุน ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าวิชาสายนี้ลึกลับเกินปุถุชนคนธรรมดาจะเรียนได้สำเร็จ ผู้ที่จะเข้าถึงได้ต้องเป็นผู้ที่มีบารมีมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เพราะการควบคุมธาตุ 4 ได้นั้นผู้ที่จะสามารถทำการนี้ได้ต้องสำเร็จจตุตฌานเป็นบาทฐานในการทำ และยังต้องมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของกสิณจตุธาตุทั้ง 4 ได้แก่ ดิน น้ำ ลม และไฟอีกด้วย 

หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล

     หลังจากนั้น หลวงปู่ก็กลับมาจำพรรษา ที่วัดบ้านจาน จนได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส และพระอุปัชฌาย์ รับสมณศักดิ์เป็นพระครูชั้นประทวน ที่ ” พระครูหมุน ฐิตสีโล ” หลวงปู่ได้ปฎิบัติศาสนกิจตามที่ได้รับมอบหมายเป็นเวลาถึง 20 ปี จึงลาออกจากทุกตำแหน่ง ต้องการใช้ชีวิตที่เหลือบำเพ็ญสมณธรรมปฏิบัติพระวิปัสสนาธุระ อย่างเดียว ประมาณปี 2487 ในช่วงที่หลวงปู่อายุ 50 ปี ท่านเก็บบริวารออกธุดงค์บำเพ็ญเพียรอยู่ในป่าดงดิบ โดยลำพังแต่ผู้เดียว และในช่วงนี้เองที่หลวงปู่ได้พบกับอาจารย์จ่อยและอาจารย์ขวัญ วัดป่าหนองหล่ม ในระหว่างที่หลวงปู่ธุดงค์โดยบังเอิญ อาจารย์ทั้ง 2 จึงได้นิมนต์หลวงปู่โปรดญาติโยมที่วัดป่าหนองหล่ม หลังจากที่หลวงปู่หมุนเดินธุดงค์แสวงหาธรรม อยู่หลายสิบปี ประมาณปี 2520 ท่านจึงกลับมายังวัดบ้านจาน ซึ่งวัดบ้านจานในยามนั้น มีอายุกว่า 200 ปี อยู่ในสภาพทรุดโทรม ท่านจึงได้พัฒนาวัด สร้างอุโบสถขึ้นมา ด้วยหยาดเหงื่อและแรงจิต ทำให้อุโบสถเสร็จสมบูรณ์ในเวลาอันสั้น 

     วาจาสิทธิ์ของหลวงปู่หมุน ที่ได้กล่าวไว้ก่อนละสังขาร ซึ่งลูกศิษย์และชาวบ้านต่างจดจำได้ติดหู คือ “ ของๆ ฉัน สร้างเองกับมือ ใครมีไว้บูชาจะหมุนโชคหมุนลาภ ทำมาค้าขึ้น ไม่มีวันจน ประกอบสัมมาอาชีพใดก็รุ่งเรือง เจริญลาภยศสรรเสริญ จะมีชื่อเสียงหอมขจรขจาย ขอให้เป็นคนดี คิดดี ทำดี ละเว้นชั่ว คุณพระจะรักษา เทวดาจะคุ้มครอง แม้นว่าฉันจะตายไป ของๆ ฉัน จะขลังกว่านี้อีกหลายๆ เท่า น้ำลาย ไอปาก ลมปราณที่ประจุลงไป ด้วยพลังจิตอันเข้มขลังของฉัน ย่อมเป็นหนึ่งบ่เป็นสอง ครบเครื่องเป็นองค์พระ ที่ดีทั้งนอก ดีทั้งใน ฝากไว้ในแผ่นดิน ให้เลื่องชื่อลือนาม ลือเรื่องถึงเมืองแมน ” 

     จนกระทั่งในปี พ.ศ.2546 ชาวจังหวัดศรีสะเกษก็ต้องพบกับความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ โดยหลวงปู่หมุนได้มรณภาพลงด้วยโรคชรา รวมสิริอายุได้ 109 ปี 87 พรรษา และสรีระของท่านได้บรรจุอยู่ในโลงแก้ว แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป 16 ปี สรีระสังขาลของท่านกลับไม่เน่าเปื่อย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้หลาย ๆ คนยิ่งเกิดความศรัทธาต่อท่านเพิ่มมากขึ้น 

     ดังนั้น สายมูทั้งหลาย หากต้องการที่จะเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับตัวเอง เราขอแนะนำให้ท่านไปกราบไหว้สักการะ หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล เพราะเชื่อว่าส่งเสริมด้านความเป็นอยู่ การเงิน หมุนเงินหมุนทอง ทำอะไรก็ราบรื่นเจริญก้าวหน้า สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาวเหมือนหลวงปู่ 

คาถาบูชาหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล 

ท่องนะโม 3 จบ แล้วกล่าวคาถาดังนี้ 

นะโมพุทธายะ ยะจงได้จงมี พุทธะปะฏิเสวาโส ปะฏิเสวามิ หลวงปู่หมุน ฐิตะสีโล มะหาลาโภ ปูเชมิ
ตัวกูลูกพระพุทธองค์ ครูสิทธิ์ครูธงค์ องอาจไม่ประมาทครู พบรอยก้มดู เจอครูกราบไหว้ 

หลังจากนั้นให้กล่าว อิ มะมะมามา ทั้งหมด 7 ครั้ง ก่อนออกจากบ้านทุกวัน 

บูชาหลวงปู่หมุน จุดธูปกี่ดอก 

หากขอให้หลวงปู่ช่วยเหลือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ให้จุดธูป 16 ดอก ก่อนท่องคาถาบูชาหลวงปู่หมุน ต่อด้วยคำว่า 

หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล มะอะอุ หลวงปู่หมุน ฐิตสีโล อุอะมะ
ข้าพเจ้า………………………. ขอหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล ได้โปรดช่วยเหลือข้าพเจ้า…………………….เรื่อง………………..สาธุสาธุสาธุ 

แล้วนำธูปไปปักนอกบ้านในที่แจ้ง ทำกลางวันหรือกลางคืนก็ได้ 

ทุกวันพฤหัสบดีให้จุดธูป 3 ดอก
ของถวายบูชาหลวงปู่หมุน ฐิตสีโล ซกเล็ก ลาบเลือด หรือลาบเนื้อ 1 จาน และปลาดุกย่าง 1 ตัว ข้าวเหนียว 1 จาน น้ำเป๊ปซี่ 1 กระป๋อง น้ำสะอาด 1 แก้ว พวงมาลัย 1 พวง แล้วท่องคาถาบูชาหลวงปู่หมุนฐิตสีโล 

หากสายมูทั้งหลายต้องการหาคาถาให้โชคเพิ่มเติมสามารถเข้าไปดูได้ที่นี่เลย >> หวยเลขเด็ด.com 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *